สาเหตุและระบาดวิทยา ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เชื้อสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในผู้ป่วยทุกอายุคือ rhinovirus ไวรัสชนิดอื่น เช่น parainfluenza virus, respiratory syncytial virus และ adenovirus ทำให้เกิดโรคหวัดได้แต่อาจจะมีอาการรุนแรงมากกว่าโดยเฉพาะในเด็กเล็ก โรคหวัดมักพบในช่วงเวลาที่มีอากาศเย็นและความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ เช่น ฤดูหนาว โดยเฉลี่ยเด็ก มีโอกาสเป็นหวัดได้ 6-8 ครั้งต่อปี และพบน้อยลงเมื่อเด็กโตขึ้น ในผู้ใหญ่พบเป็นหวัดได้ 2-4 ครั้งต่อปี อาการ มีน้ำมูกใสในวันแรก ต่อมาน้ำมูกอาจเปลี่ยนเป็นสีเขียวได้จากการที่เม็ดเลือดขาวหลั่งสาร บางอย่างออกมากำจัดเชื้อโรค การมีน้ำมูกสีเขียวหรือเหลืองจึงไม่ได้แปลว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนเสมอไป มีอาการคัดจมูก หายใจไม่สะดวกเนื่องจากมีอาการบวมของเยื่อบุจมูก โดยทั่วไป ไข้ในโรคหวัดมักไม่สูง แต่ในทารกและเด็กเล็กอาจมีไข้สูงได้ อาการอื่นๆที่พบได้แก่ จาม เจ็บคอ ไอ ปวดศีรษะหรือปวดเมื่อยตามตัว อาการไข้และเจ็บคอมักไม่เกิน 1-3 วัน อาการคัดจมูกหรือมีน้ำมูกมักเป็นไม่เกิน 7-10 วัน ถ้ามีน้ำมูกเกิน 2 สัปดาห์ ให้สงสัยว่าอาจมีไซนัสอักเสบหรือจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ร่วมด้วย การรักษา เนื่องจากเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส จึงไม่มีการรักษาจำเพาะในโรคนี้ ยกเว้นกรณีที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เช่น หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ จึงจำเป็นต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ การกินยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นอาจแพ้ยา ทำให้เกิดเชื้อดื้อยา ไม่สามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อน และไม่ได้ทำให้โรคหวัดหายเร็วขึ้น การรักษาที่สำคัญในโรคนี้คือการรักษาประคับประคองและรักษาตามอาการ ได้แก่ ใช้ผ้าสะอาดเช็ดน้ำมูก ใช้น้ำเกลือหยอดจมูก ใช้ลูกยางแดงดูดน้ำมูก ในเด็กโตให้สั่งน้ำมูกออกเอง พักผ่อน และให้ดื่มดื่มน้ำมากๆ ลดไข้โดยเช็ดตัวและให้กินยาลดไข้ เช่น paracetamol ไม่แนะนำให้ใช้ aspirin หรือ ibuprofen ในโรคหวัด บรรเทาอาการไอโดยดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำผึ้งผสมมะนาวบ่อยๆ ภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ ปอดอักเสบ นอกจากนี้โรคหวัดยังเป็นตัวกระตุ้นให้โรคหอบหืดกำเริบในเด็กที่มีภาวะหลอดลมไวเกินอีกด้วย การป้องกัน โรคหวัดติดต่อกันได้โดยการสัมผัสน้ำมูกของผู้ป่วยโดยตรง หรือสัมผัสกับน้ำมูกที่ปนเปื้อนมา กับสิ่งของที่ใช้ร่วมกัน เช่น ของเล่น ราวบันได แล้วเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุตาหรือเยื่อบุโพรงจมูก ดังนั้นการป้องกันที่ได้ผลดีที่สุดคือ ฝึกเด็กให้ล้างมือบ่อยๆโดยใช้น้ำและสบู่ให้สะอาด หรืออาจใช้น้ำยาล้างมือ ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ก็ได้ และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นโรคหวัด ไม่พาเด็กเล็กไปในที่ชุมชน เช่น ศูนย์การค้า โรงภาพยนตร์ ตลาด เมื่อเป็นหวัดแล้วแนะนำให้ใช้ผ้าปิดปากและจมูกเวลาไอจาม ควรพักอยู่บ้าน 2-3 วัน ไม่ควรไปโรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยงเด็กขณะมีไข้หรือไอมาก ปัจจุบันมีไวรัสกว่า 200 ชนิดที่ทำให้เกิดโรคหวัด ดังนั้นจึงยังไม่มีวัคซีนจำเพาะสำหรับป้องกันโรคหวัด นอกจากนี้ยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนมากเพียงพอว่า วิตามินซีไม่ว่าขนาดปกติหรือขนาดสูง จะสามารถป้องกันโรคหวัดได้